รีวิวหนัง “แดง พระโขนง”ปลุกตำนานความหลอนเวอร์ชันแยกจากแม่นาคพระโขนงนั้น

Hit movie

                ต้องบอกว่าเพียบพร้อมไปด้วย ไปด้วยศักยภาพสำหรับภาพยนตร์ที่ควรเป็นที่น่าจดจำสำหรับการทำเนื้อเรื่องแยก อย่าง “แดงพระโขนง” แต่กลับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาด้วยบทภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าไร้คุณภาพ  สำหรับภาพยนตร์อย่างแดงพระโขนงนั้น  ซึ่งต้องบอกว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอะไรที่แฟนภาพยนตร์ไทยต่างจับตามองเนื่องจาก พี่มากพระโขนงในเวอร์ชันล่าสุดนั้นเรียกได้ว่าผู้ชมให้ความสนใจในการไปรับชมกันจนสะเทือนวงการภาพยนตร์หลังจากที่ได้มีการฉายออกมาจนกระทั้งในปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดของไทยที่จะสามารถทำลายสถิติการนำเป็นอันดับ 1 ในเรื่องของรายได้หลังจากการเข้าฉาย จึงทำให้หลายคนคิดว่า ภาพยนตร์อย่างแม่นาคพระโขนงนั้น จะไม่มีเวอร์ชันที่จะถูกนำมารีเมคได้ดีเท่าเวอร์ชันล่าสุดอีกแล้ว แต่ก็ได้มีการประกาศที่จะทำภาพยนตร์ในเวอร์ชันแยกออกมา นั้นก็คือแดงพระโขนง ซึ่งต้องบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่ทำให้ผู้คนเกิดความสนใจขึ้นมาเพราะสำหรับแดงพระโขนงนั้นไม่ค่อยมีคนที่จะนึกถึง หรือหยิบยื่นขึ้นมาเพื่อเป็นเนื้อหาหลักซักเท่าไหร่ ทำให้ผู้คนนั้นให้ความสนใจกับภาพยนตร์แดงพระโขนงค่อนข้างมาก

                ต้องบอกว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ นักแสดง “แจ๊ค แฟนฉัน” กับเพื่อนซี้อย่าง “เอ็ก-วัชรพงษ์ปัทมะ” ที่ได้เกิดแนวคิดในการทำภาพยนตร์ขึ้นมาและได้นำเรื่องไปปรึกษากับ “หม่ำ จ๊กม๊ก” ที่ได้ร่วมแสดง และได้ทำหน้าที่ในการอำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย แต่ก็มีคนได้ออกมากล่าวว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น แจ๊ค ได้ออกมาทำการกำกับอยู่เพียงสองคิวเท่านั้น

                เป็นที่หน้าผิดหวังอย่างมากสำหรับหลายๆคนที่ได้รับชมภาพยนตร์อย่างพี่มากพระโขนง เพราะยังเต็มไปด้วยมุกเก่าๆ การเหยียดสีผิว รูปลักษณ์ในภายนอก หรือความผิดปกติของร่างกายนักแสดงด้วยกัน อาจจะดูเป็นที่ครื้นเครงสำหรับเหล่านักแสดงภายในเรื่องที่ออกแนวเหมือนจะอวยมุกตลกกันเองเสียด้วยซ้ำ แต่สำหรับผู้ชมในหลายท่านแล้วต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเป็นที่หน้าผิดหวังเป็นอย่างมาก เพราะแทนที่แนวของภาพยนตร์นั้นจะอยู่ในรูปแบบของหนังผีไทย ที่เด็กและผู้ใหญ่สามารถดูได้ มีมุกบันเทิงที่สร้างสรรค์แต่กลับติดอยู่ในมุกตลกเก่าๆที่นิยมการเหยียดกันแล้วมองเป็นเรื่องตลกไป  ซึ่งทำให้แอบกังวลใจอยู่ไม่น้อยสำหรับผู้ปกครองที่ได้พาบุตรหลานมารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ แถมยังเต็มไปด้วยมุกหยาบโลนและทะลึ่งต่างๆอีกมากมาย ซึ่งจริงๆแล้วสามารถทำหนังออกมาในรูปแบบที่เลี่ยงได้ แต่ตัวหนังกลับทำออกมาในรูปแบบที่ตรงไปตรงมาซะอย่างนั้น

                ในส่วนของการดำเนินเนื้อเรื่องเองต้องบอกว่าเลวร้ายมากเลยทีเดียวสำหรับการจัดวางรูปแบบเนื้อเรื่องและการดำเนินการ เพราะไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของภาพยนตร์ หรือดำเนินเรื่องให้ภาพยนตร์ไปในทิศทางเดียวกันได้เลย แต่ละฉากนั้นกลับมีเนื้อเรื่องที่ไปกันคนละทิศคนละทางก่อนจะเริ่มที่จะเข้าเรื่องในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ทั้งที่ตัวภาพยนตร์เองฉายเพียงแค่ 1 ชั่วโมง 37 นาทีเพียงเท่านั้น เรียกได้ว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วพังไม่เป็นท่าและหน้าผิดหวังอยู่ไม่น้อยหากไม่ได้ฉากในช่วงท้ายๆของภาพยนตร์ช่วยไว้ เนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์อาจจะล้มเหลวไปมากกว่านี้ได้ และต้องบอกให้ผู้อ่านเข้าใจในส่วนของการรีวิวครั้งนี้ว่าเป็นเพียงความเห็นในส่วนหนึ่งของผู้เขียนเท่านั้น หากไม่ถูกใจท่านใดต้อง ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ผู้เขียนแค่อยากบอกเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ที่ตนเองได้รับและความรู้สึกผิดหวังที่ได้รับชมภาพยนตร์ที่ตนเองนั้นมีความสนใจเพียงเท่านั้น